คลินิกรักษาสิว และเสริมความงาม : แข่งขันสูง…รับกระแสหน้าเด้ง

   ปัจจุบันธุรกิจคลินิกรักษาสิว และเสริมความงามมีการแข่งขันกันมากขึ้น ทั้งในเรื่องของการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดของแต่ละคลินิก การเปลี่ยนนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อความรวดเร็วในการรักษา หรือแม้แต่การใช้โฆษณามากขึ้นตามสื่อประเภทต่าง ๆ เช่น โทรทัศน์ นิตยสาร วิทยุ เป็นต้น ทั้งนี้เป็นเพราะพฤติกรรมการรักสวย-รักงามของผู้บริโภคที่นับวันจะมีเพิ่มมากขึ้นในทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มวัยรุ่นที่เข้ามาใช้บริการกับทางคลินิกมากขึ้น




   ไม่ว่าจะเป็นการทำเลเซอร์หน้าใส การฉีดสารเข้าเส้นเลือดเพื่อให้ผิวขาว เปล่งปลั่ง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นนวัตกรรมการให้บริการในรูปแบบใหม่ ๆ และเป็นที่นิยมมากขึ้น เพื่อรับกับกระแสหน้าเด้ง ขาวใส สไตล์เกาหลี และญี่ปุ่น ส่งผลให้ธุรกิจนี้ต่างก็ปรับตัวเพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม การปรับตัวของธุรกิจจะต้องคำนึงถึงคุณภาพ และความปลอดภัยในการรักษาเป็นสำคัญ อีกทั้ง ผู้บริโภคเองก็ต้องมีการศึกษาข้อมูลและอ่านรายละเอียดอย่างถี่ถ้วน เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษา


   คลินิกรักษาสิว และเสริมความงาม…แข่งขันสูงชิงแชร์มูลค่า 11,000 ล้านบาท 
ธุรกิจคลินิกรักษาสิว และเสริมความงามที่เป็นที่รู้จักในปัจจุบันมีประมาณ 10 ราย มีมากกว่า 300 สาขาทั่วประเทศ โดยทั่วไปคลินิกรักษาสิว และเสริมความงามจะตั้งอยู่ใกล้แหล่งชุมชน เช่น ห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงานย่านธุรกิจ บริเวณใกล้มหาวิทยาลัย เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีความหลากหลาย


   สำหรับมูลค่าตลาดในปี 2552 นี้ คาดว่า มีมูลค่าประมาณ 11,0002 ล้านบาท มีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 10.0 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาซึ่งมีมูลค่าตลาด 10,000 ล้านบาท ส่งผลให้ในธุรกิจนี้มีการแข่งขันกันมากขึ้นในเรื่องของกลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด และขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุม ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ปัจจัยหนุนที่ทำให้ธุรกิจนี้มีกระแสตื่นตัวอย่างมาก และเกิดการแข่งขันกันสูงเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด คือ

   กระแสหน้าเด้ง ขาวใส สไตล์เกาหลี จากกระแสเกาหลีฟีเวอร์ ที่ดาราเกาหลีมีหน้าตาสวยใส ไร้สิว มีใบหน้าขาวเด้ง ได้เข้ามามีบทบาทกับพฤติกรรมของคนไทยมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นทั้งเพศหญิง และชาย ส่งผลให้ธุรกิจคลินิกรักษาสิว และเสริมความงามเป็นที่ต้องการมากขึ้น


   กระแสการใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้นของผู้บริโภค กระแสการใส่ใจสุขภาพที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาดูแลเอาใจใส่ตัวเองมากขึ้น โดยเฉพาะการดูแลเอาใจใส่ในรูปร่าง หน้าตา ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้บริโภค โดยเฉพาะผู้หญิงที่ให้ความสนใจดูแลในเรื่องผิวพรรณเป็นพิเศษ มีการเข้ามาใช้บริการกับทางคลินิกมากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจคลินิกรักษาสิว และเสริมความงามนี้เป็นที่ต้องการ และมีการขยายตัวเป็นอย่างมากในปัจจุบัน

   ความหลากหลายของลูกค้าที่ใช้บริการ เดิมคนที่มาใช้บริการกับทางคลินิกส่วนใหญ่ จะเป็นกลุ่มคนที่มีปัญหาเรื่องผิวหนัง เช่น สิว ฝ้า กระ เป็นต้น ทำให้คลินิกเหล่านี้มีรายได้จากส่วนนี้เพียงอย่างเดียว อีกทั้ง บางคนไม่กล้ามาที่จะมาทำการรักษา เพราะกลัว และอายแพทย์ หากมีปัญหาก็จะหายา หรือเครื่องสำอางมารักษากันเอง

   นอกจากกรณีที่เป็นหนัก ๆ ถึงจะยอมไปพบแพทย์ จึงทำให้ธุรกิจนี้ยังไม่ขยายตัว และเป็นที่นิยมมากนัก แต่ปัจจุบัน ไม่เพียงแต่ผู้ที่มีปัญหาเรื่องผิวหนังเท่านั้นที่ไปใช้บริการทางคลินิก แต่ผู้ที่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องผิวหนัง แต่ต้องการไปเสริมความงามด้วยการบำรุงใบหน้าให้ขาวใส สวยเด้ง ก็นิยมไปใช้บริการทางคลินิกเป็นจำนวนมาก

   การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการตลาดของธุรกิจ แต่ก่อนคนที่เข้ามาใช้บริการจะมีความเชื่อ และศรัทธาในตัวแพทย์ที่ทำการรักษา และเป็นการบอกปากต่อปากไปยังลูกค้ารายอื่น ๆ แต่ในปัจจุบันมีเรื่องของธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง มีการแข่งขันกันสูงทั้งรายเก่า และรายใหม่ที่เข้ามา ส่งผลให้คลินิกรักษาสิว และเสริมความงามหลายแห่ง ต่างก็มีการใช้กลยุทธ์ทางการตลาด เข้ามาช่วยในการดึงดูดลูกค้า และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ จากที่ไม่ค่อยจะระดมกลยุทธ์ทางการตลาดเข้ามาใช้มากนัก ซึ่งกลยุทธ์ทางการตลาดที่นำมาใช้การแข่งขันในปัจจุบัน คือ ความเชื่อมั่นในตัวของแพทย์ โดยการโฆษณาผ่านสื่อประเภทต่าง ๆ การต่อรองราคา การทำโปรโมชั่นในแต่ละคลินิก และการบริการที่ดี เป็นต้น

นวัตกรรม และเทคโนโลยีที่ใช้ในการรักษารูปแบบใหม่ ๆ ปัจจุบันนวัตกรรม และเทคโนโลยีที่เข้ามาใช้ในการรักษาเปลี่ยนไปจากเดิมมาก มีความทันสมัย สะดวก และเห็นผลการรักษาที่รวดเร็ว อีกทั้งไม่ได้มีแต่เทคโนโลยีสำหรับผิวหน้าเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีการแตกไลน์ออกมาเป็นการดูแลรักษาหุ่น เป็นต้น จึงทำให้ธุรกิจนี้มีการแข่งขันกันสูงขึ้นในเรื่องของนวัตกรรม และเทคโนโลยีในการรักษาที่ทันสมัยมากขึ้น เพื่อที่จะดึงดูดกลุ่มลูกค้าต่าง ๆ ให้เข้ามาใช้บริการกับทางคลินิกของตนเอง โดยเทคโนโลยีที่นำมาใช้ในการรักษาของแต่ละคลินิกส่วนใหญ่จะนำเข้ามาจากต่างประเทศ

   อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของธุรกิจในช่วงที่เหลือของปี 2552 นี้ คาดว่า ยังคงขยายตัวได้อีกมาก ตราบใดที่ผู้บริโภคยังคงให้ความสำคัญในการใส่ใจในเรื่องของผิวพรรณ และความงามมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่านิยมของกลุ่มวัยรุ่นในสังคมไทยที่นับวันจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นความต้องการสวยใส หน้าเด้งเหมือนกับดารา หรือพฤติกรรมการเลียนแบบแฟชั่น เป็นต้น ถึงแม้ว่าผู้บริโภคกลุ่มนี้จะไม่ได้มีรายได้เป็นของตัวเอง แต่ถูกกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายได้ง่าย เพราะชอบตามกระแส ชอบความมีสีสัน ชอบความโดดเด่น ซึ่งจากพฤติกรรมต่าง ๆ ของผู้บริโภคเหล่านี้จึงได้กลายเป็นแรงจูงใจให้มีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาลงทุนในธุรกิจนี้มากขึ้น

   การแข่งขันของธุรกิจยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยง
การแข่งขันของธุรกิจคลินิกรักษาสิว และเสริมความงามยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่ธุรกิจนี้ต้องพึงระวังเพื่อที่จะทำให้ธุรกิจสามารถแข่งขัน และอยู่รอดได้ ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ปัจจัยเสี่ยงของธุรกิจนี้ ที่ต้องพึงระวัง คือ

   จำนวนคู่แข่งที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากกระแสรักสวย-รักงามของผู้บริโภค ยังคงทำให้ธุรกิจนี้ขยายตัวได้ ส่งผลให้ผู้ประกอบการในธุรกิจนี้จะต้องเผชิญกับการแข่งขันทั้งทางตรง และทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นการปรับกลยุทธ์ของแบรนด์เก่า หรือการเข้ามาของแบรนด์ใหม่ ๆ นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องหันมาแตกไลน์มากขึ้น ได้แก่

   ผลิตภัณฑ์รักษาผิวหน้าต่าง ๆ เช่น สบู่รักษาสิวที่วางขายอยู่ตามห้างสรรพสินค้า หรือร้านขายยา ซึ่งมีต้นทุนที่ถูกกว่า สามารถหาซื้อได้ทั่วไป และมีหลายแบรนด์ให้เลือก แต่ทั้งนี้ ผู้บริโภคอาจไม่มีความเชื่อมั่นในสรรพคุณของผลิตภัณฑ์มากนัก

   คลินิกรักษาโรค และผิวหนังทั่วไป ซึ่งเป็นคลินิกที่มีมาแต่ดั้งเดิม โดยคลินิกกลุ่มนี้จะมีต้นทุนในการรักษาที่ถูกกว่าโดยเปรียบเทียบ และมีกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายที่เข้ามาทำการรักษา ขณะที่แพทย์ที่ทำการรักษาอาจมีทั้งอายุรแพทย์ หรือแพทย์ที่เชี่ยวชาญทางการใช้ยาในการรักษาผู้ป่วย รวมทั้งแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับแต่ละคลินิก อีกทั้งวิธีการในการรักษายังคงเป็นไปตามขั้นตอนทางการแพทย์ปกติ โดยอาจจะไม่มีการนำนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้มากเหมือนกับคลินิกรักษาสิว และเสริมความงาม ทำให้อาจจะไม่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันที่มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น



   โรงพยาบาล ถือเป็นคู่แข่งที่สำคัญของธุรกิจ โดยมีจุดแข็งในเรื่องของความน่าเชื่อถือของแพทย์ที่ทำการรักษา อีกทั้งยังมีต้นทุนที่ถูกกว่าโดยเปรียบเทียบ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการทำการตลาดไม่สูงนัก ขณะที่การรักษาส่วนใหญ่อาจจะยังคงเป็นไปตามขั้นตอนทางการแพทย์ปกติ โดยการใช้นวัตกรรมใหม่ ๆ อาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละที่ รวมทั้งอาจจะไม่ค่อยมีการใช้เทคนิค หรือกิจกรรมด้านการตลาดเพื่อดึงดูดลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น เป็นต้น

   การขาดแคลนแพทย์ และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ แพทย์ และบุคลากรถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้ เนื่องจาก ธุรกิจต้องการแพทย์ และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในการรักษาเฉพาะด้าน แต่ปัจจุบันแพทย์ และบุคลากรที่มี่ความเชียวชาญยังมีน้อยมาก ดังนั้น แต่ละคลินิกจะต้องมีแพทย์ และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ และสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค

   คุณภาพ และความปลอดภัยในการรักษาปัจจัยที่สำคัญในการแข่งขันของธุรกิจ
ธุรกิจคลินิกรักษาสิว และเสริมความงามจะสามารถแข่งขัน และอยู่รอดได้จะต้องมีการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้แตกต่าง และสอดคล้องกับพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ เพื่อเป็นการรักษาฐานลูกค้าเก่า และเป็นการขยายฐานลูกค้าใหม่ให้เพิ่มมากขึ้น ทางคลินิกจะต้องตระหนักถึงคุณภาพ และความปลอดภัยในการรักษาซึ่งถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ตัวยาที่ทางองค์การอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ยังไม่ได้อนุญาตให้ใช้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคที่เข้ามาใช้บริการได้ ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทางภาครัฐควรเข้ามาให้ความสำคัญกับตรงนี้ โดยการสำรวจ/สุ่มตรวจวิธีการรักษา และตัวยาที่ใช้ของทางคลินิกอยู่สม่ำเสมอ รวมทั้งการป้องปรามการโฆษณาเกินจริง ในส่วนของแพทย์ผู้ทำการรักษาจะต้องมีการตรวจวินิจฉัยอย่างรอบคอบ ให้คำแนะนำในการรักษาอย่างละเอียด จะต้องอธิบายถึงข้อดี และผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นให้ผู้บริโภคเห็นทั้ง 2 ด้าน และควรอธิบายให้ผู้บริโภคเกิดความเข้าใจได้ง่าย เพราะเนื่องจากตัวผู้บริโภคเองอาจจะมีข้อมูลที่ไม่เพียงพอต่อการตัดสินใจ นอกจากนี้ ทางคลินิกไม่ควรที่จะมีการโฆษณาถึงสรรพคุณของตัวยา หรือวิธีการรักษาที่เกินกับความเป็นจริง เพราะอาจทำให้ผู้บริโภคเกิดความหลงเชื่อ ทั้ง ๆ ที่บางวิธีการรักษายังไม่มีการรับรองผลที่แน่นอน 

   นอกจากนี้ จากภาวะการแข่งขันที่สูงทำให้ธุรกิจจะต้องมีการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้แตกต่างจากคู่แข่งอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการรักษา การโฆษณาผ่านสื่อประเภทต่าง ๆ เพื่อให้แบรนด์เป็นที่รู้จักกว้างขวางมากขึ้นของกลุ่มผู้บริโภค การฝึกอบรมพนักงานให้มีความเชี่ยวชาญในการให้ข้อมูล และการรักษากับผู้บริโภค รวมทั้งการบริการที่ดีเพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกประทับใจในการเข้ามาใช้บริการ เป็นต้น

   อย่างไรก็ตาม ในส่วนของผู้บริโภคที่เข้ามาใช้บริการกับทางคลินิก ก็ควรที่จะศึกษาข้อมูล/รายละเอียดในการรักษาก่อนที่จะทำการรักษาเช่นกัน โดยเฉพาะผลข้างเคียงจากการรักษา โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น ไม่ควรตัดสินใจใช้บริการเพียงแค่ทำตามค่านิยม เลียนแบบดารา หรือกระแสแฟชั่น ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง หรือหลงเชื่อคำโฆษณา โดยไม่มีการไตร่ตรองอย่างรอบคอบ หากมีปัญหาเกี่ยวกับผิวพรรณก็ควรที่จะปรึกษาผู้ปกครอง หรือแพทย์ ทั้งนี้เพื่อให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสม นอกจากนี้ ยังมีวิธีง่าย ๆ ในการดูแลผิวพรรณที่ผู้บริโภคสามารถทำได้ง่าย นั่นคือ การดูแลตัวเองด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การพักผ่อนให้เพียงพอ และการรักษาความสะอาดของผิวพรรณ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพียงเท่านี้ก็สามารถที่จะทำให้ตัวเองมีสุขภาพ และผิวพรรณที่ดีขึ้นได้

บทสรุป

   ปัจจุบันธุรกิจคลินิกรักษาสิว และเสริมความงามมีการแข่งขันกันสูงขึ้น โดยธุรกิจคลินิกรักษาสิว และเสริมความงามที่เป็นที่นิยมมีประมาณ 10 ราย โดยมีการขยายสาขามากกว่า 300 สาขาทั่วประเทศ และคาดว่า มูลค่าตลาดในปี 2552 นี้ มีประมาณ 11,000 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.0 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่มีมูลค่าตลาด 10,000 ล้านบาท และคาดว่า ในช่วงที่เหลือของปี 2552 ธุรกิจยังคงขยายตัวได้อีกมาก ทั้งนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ปัจจัยหนุนที่ทำให้ธุรกิจขยายตัว และมีการแข่งขันกันสูงมีด้วยกันหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น กระแสความนิยมหน้าเด้ง สไตล์เกาหลี และญี่ปุ่น กระแสการใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้นของผู้บริโภค ความหลากหลายของลูกค้าที่ใช้บริการ การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการตลาดของธุรกิจ หรือแม้แต่การนำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ใช้ในการรักษารูปแบบใหม่ ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเกิดการขยายตัว

   ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การแข่งขันของธุรกิจประเภทนี้ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่ ผู้ประกอบการจะต้องพึงระวัง ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันที่สูงขึ้นทั้งในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน หรือกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ ที่มีความเกี่ยวข้อง เช่น โรงพยาบาล เป็นต้น หรือการขาดแคลนแพทย์ และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ ดังนั้น เพื่อให้ธุรกิจสามารถแข่งขัน และอยู่รอดได้จะต้องมีการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้แตกต่างจากธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และสอดคล้องกับพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ เพื่อเป็นการรักษาฐานลูกค้าเก่า และเป็นการขยายฐานลูกค้าใหม่ให้เพิ่มมากขึ้น โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจสามารถแข่งขัน และอยู่รอดได้ คือ คุณภาพ และความปลอดภัยในการรักษา

   นอกจากนี้ ธุรกิจจะต้องมีการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น นวัตกรรมใหม่ ๆ ในการรักษา การโฆษณาผ่านสื่อประเภทต่าง ๆ เพื่อให้แบรนด์เป็นที่รู้จักกว้างขวางมากขึ้นของกลุ่มผู้บริโภค การฝึกอบรมพนักงานให้มีความเชี่ยวชาญ รวมทั้งการบริการที่ดีเพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกประทับใจในการเข้ามาใช้บริการ เป็นต้น



   อย่างไรก็ตาม ตัวผู้บริโภคเองจะเป็นคนตัดสินว่าจะเลือกใช้บริการกับคลินิกใด ดังนั้น ก่อนที่จะใช้บริการควรที่จะทำการศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนที่จะตัดสินใจใช้บริการในแต่ละคลินิก ไม่ควรหลงเชื่อคำโฆษณามากเกินไป โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นที่ปัจจุบันเข้ามาใช้บริการกับทางคลินิกมากขึ้น ไม่ควรเข้ามาใช้บริการกับทางคลินิกเพียงแค่ต้องการสวยใสเหมือนดารา หรือทำตามกระแสแฟชั่น สิ่งที่ควรจะปฏิบัติมากที่สุด คือ การดูแลตัวเองด้วยการออกกำลังกาย ทำความสะอาดผิวพรรณให้สะอาดอยู่เสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ เป็นต้น นอกจากนี้ สถาบันครอบครัวและสถาบันการศึกษาควรเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดูแลพฤติกรรมของผู้บริโภคให้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นไทย เพื่อให้วัยรุ่นไทยมีพฤติกรรมอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม  


ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
คลินิกรักษาสิว และเสริมความงาม : แข่งขันสูง…รับกระแสหน้าเด้ง คลินิกรักษาสิว และเสริมความงาม : แข่งขันสูง…รับกระแสหน้าเด้ง Reviewed by TXL Admin on 20:52 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.